ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Tom Felten

ความรับผิดชอบของตน

สายตาของเพื่อนแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผมกำลังรู้สึก นั่นคือความกลัว! วัยรุ่นอย่างเราสองคนประพฤติตัวไม่ดี และตอนนี้ก็ก้มหน้าด้วยความกลัวอยู่ตรงหน้าผู้อำนวยการค่าย ชายผู้นี้ซึ่งรู้จักพ่อของเราดี ได้ชี้ให้เราเห็นอย่างตรงไปตรงมาด้วยความรักว่าพ่อของเราจะผิดหวังอย่างมาก เราอยากจะมุดลงใต้โต๊ะ เพราะรู้สึกถึงความรับผิดชอบอันหนักอึ้งในความผิดที่ได้ทำไป

พระเจ้าประทานข่าวสารแก่คนยูดาห์ผ่านเศฟันยาห์ เป็นถ้อยคำที่มีอำนาจเกี่ยวกับความรับผิดชอบในเรื่องบาปของตนเอง (ศฟย.1:1, 6-7) หลังจากบรรยายถึงคำพิพากษาที่พระองค์จะทรงนำมาเหนือศัตรูของยูดาห์แล้ว (บทที่ 2) พระองค์จะทรงหันมาทอดพระเนตรประชากรที่น่าละอายและมีความผิดของพระองค์ (บทที่ 3) พระเจ้าประกาศว่า “วิบัติแก่เมืองนี้ [เยรูซาเล็ม] ที่เป็นเมืองกบฏ และเป็นมลทิน” (3:1) และ “เขาทั้งหลายยิ่งกลับร้อนใจ ที่จะให้การกระทำของเขาเสื่อมทราม” (ข้อ 7)

พระองค์ทรงเห็นจิตใจที่เย็นชาในคนของพระองค์ ทั้งความไม่แยแสฝ่ายวิญญาณ ความอยุติธรรมในสังคมและความโลภที่น่าชัง พระองค์จึงนำมาซึ่งการตีสอนด้วยความรักไม่สำคัญว่าแต่ละคนจะเป็น “ผู้นำ” “ผู้พิพากษา” หรือ “ผู้เผยพระวจนะ” (ข้อ 3-4) ทุกคนล้วนมีความผิดจำเพาะพระพักตร์พระองค์

เปาโลเขียนข้อความนี้ถึงผู้เชื่อในพระเยซูที่ยังคงทำบาปว่า “ท่านจึงส่ำสมโทษให้แก่ตัวเอง...ซึ่ง[พระเจ้า]จะทรงสำแดงการพิพากษาลงโทษ...แก่ทุกคนตามควรแก่การกระทำของเขา” (รม.2:5-6) ดังนั้นโดยฤทธิ์เดชของพระเยซู ขอให้เราดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระบิดาของเราผู้ทรงบริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยความรัก ซึ่งจะไม่ทำให้เราต้องมาสำนึกเสียใจในภายหลังในความผิดใดๆ

อิสระที่จะเชื่อฟัง

สีหน้าของเด็กสาวสะท้อนความโกรธและอับอาย ก่อนเข้าสู่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2022 ความสำเร็จของเธอในฐานะนักสเก็ตลีลาไม่มีใครเทียบได้ ชัยชนะมากมายทำให้เธอเป็นตัวเต็งเหรียญทอง แต่ผลการตรวจพบว่ามีสารต้องห้ามในร่างกายของเธอ แรงกดดันแห่งความคาดหวังที่หนักและคำตำหนิที่ถาโถมใส่ ทำให้เธอพลาดล้มหลายครั้งระหว่างรายการแข่งสเก็ตอิสระและไม่ได้ไปยืนบนเวทีแห่งชัยชนะ ไม่ได้เหรียญรางวัล ก่อนเรื่องอื้อฉาวนี้ เธอเคยแสดงอิสรภาพทางศิลปะและความคิดสร้างสรรค์บนลานน้ำแข็ง แต่ตอนนี้คำกล่าวหาเรื่องผิดกติกาผูกมัดเธอไว้กับความฝันที่พังทลาย

ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของมนุษยชาติ พระเจ้าทรงเปิดเผยความสำคัญของการเชื่อฟังในขณะที่เรามีอิสระที่จะทำสิ่งต่างๆ การไม่เชื่อฟังส่งผลกระทบรุนแรงต่ออาดัม เอวา และเราทุกคน เมื่อความบาปนำความแตกแยกและความตายมาสู่โลกของเรา (ปฐก.3:6-19) มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ พระเจ้าตรัสกับทั้งสองว่า “เจ้ามีอิสระที่จะกินผลจากต้นใดๆในสวนก็ได้” ยกเว้นต้นหนึ่ง (2:16-17 TNCV) พอคิดว่า “ตาของ [พวกเขา] จะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้ว [พวกเขา] จะเป็นเหมือนพระเจ้า” พวกเขาจึงกินผลไม้ต้องห้ามของ “ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว” (3:5; 2:17) ความบาป ความละอาย และความตายจึงตามมา

โดยพระเมตตาคุณพระเจ้าได้ประทานอิสรภาพและสิ่งดีมากมายเพื่อให้เราได้ชื่นชม (ยน.10:10) พระองค์ยังทรงเรียกเราด้วยความรักให้เชื่อฟังพระองค์เพื่อผลดีแก่เรา ขอพระองค์ทรงช่วยให้เราเลือกที่จะเชื่อฟังและแสวงหาชีวิตที่เต็มล้นด้วยความชื่นชมยินดีและปราศจากความละอาย

พระคุณและการเปลี่ยนแปลง

อาชญากรรมนั้นน่าสะเทือนขวัญและชายผู้ก่อเหตุถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต หลายปีต่อมา ชายคนนั้นซึ่งอยู่ในห้องขังเดี่ยวได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการเยียวยาจิตใจและจิตวิญญาณ ซึ่งนำไปสู่การสำนึกผิดและการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเยซู ทุกวันนี้เขาได้รับอนุญาตให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ต้องหาคนอื่นได้อย่างจำกัด และโดยพระคุณของพระเจ้า คำพยานของเขาทำให้ผู้ต้องขังบางคนต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและได้รับการอภัยจากพระองค์

แม้ในเวลานี้โมเสสจะเป็นที่รู้จักในฐานะชายแห่งความเชื่อ แต่ท่านเคยก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญเช่นกัน หลังจากที่ท่านเห็น “คนอียิปต์คนหนึ่งกำลังตีคนฮีบรู” ท่านมองดู “ซ้ายขวา” และ “ฆ่าคนอียิปต์นั้นเสีย” (อพย.2:11-12) แม้ในความบาปนี้ พระเจ้าผู้กอปรด้วยพระคุณยังไม่ทรงถอดใจกับผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งยังมีข้อบกพร่อง ภายหลังพระเจ้าทรงเลือกให้โมเสสเป็นผู้ปลดปล่อยชนชาติของพระองค์จากการกดขี่ข่มเหง (3:10) ในโรม 5:14 เราได้อ่านว่า “ความตายก็ได้ครอบงำตลอดมา ตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส แม้คนที่มิได้ทำบาปอย่างเดียวกับการละเมิดของอาดัม” แต่ในข้อต่อมาเปาโลกล่าวว่า “พระคุณของพระเจ้า” ทำให้เราได้รับการเปลี่ยนแปลงและกลับมาหาพระองค์ แม้จะมีบาปในอดีต (ข้อ 15-16)

เราอาจคิดว่าสิ่งที่เราเคยทำนั้นทำให้เราไม่คู่ควรกับการอภัยจากพระเจ้าและการรับใช้เพื่อพระเกียรติของพระองค์ แต่เพราะพระคุณของพระองค์ โดยพระเยซูเราจึงได้รับการเปลี่ยนแปลงและการปลดปล่อยให้เป็นอิสระเพื่อช่วยคนอื่นให้ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปตลอดนิรันดร์

ลึกกว่าแค่ผิวหนัง

โฮเซ่เด็กหนุ่มผู้เชื่อในพระเยซูได้ไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรของพี่ชาย ขณะเขาเดินเข้าไปในโบสถ์ก่อนเริ่มการนมัสการ พี่ชายของเขาสีหน้าผิดหวังเมื่อมองมาเห็น รอยสักบนสองแขนของโฮเซ่นั้นเห็นได้ชัดเจนเพราะเขาสวมเพียงเสื้อยืดแขนสั้น พี่ชายบอกให้เขากลับไปเปลี่ยนเป็นเสื้อแขนยาว เพราะรอยสักนั้นสะท้อนถึงวิถีชีวิตในอดีตของเขา โฮเซ่รู้สึกว่าตัวเองสกปรกในทันใด แต่ชายอีกคนหนึ่งได้ยินการสนทนานั้นและพาโฮเซ่ไปพบศิษยาภิบาลโดยบอกกับเขาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ศิษยาภิบาลยิ้มและปลดกระดุมเสื้อออก เปิดให้เห็นรอยสักใหญ่บนหน้าอกซึ่งเป็นสิ่งที่มาจากอดีตของเขา เขาทำให้โฮเซ่มั่นใจว่าพระเจ้าทรงทำให้เขาบริสุทธิ์จากภายใน เขาจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดรอยสักนั้น

กษัตริย์ดาวิดสัมผัสกับความยินดีที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้าหลังจากพระองค์สารภาพความบาปต่อพระเจ้า พระองค์เขียนว่า “บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น” (สดด.32:1) พระองค์สามารถ “โห่ร้อง[ด้วยความเปรมปรีดิ์]” กับผู้อื่นที่ “มีใจเที่ยงตรง” (ข้อ 11) ต่อมาอัครทูตเปาโลได้กล่าวอ้างสดุดี 32:1-2 ในพระธรรมโรมบทที่ 4:7-8 ในเนื้อความประกาศว่า ความเชื่อในพระเยซูนำไปสู่ความรอดและทำให้เราบริสุทธิ์ต่อหน้าพระเจ้า (ดู รม.4:23-25)

ความบริสุทธิ์ของเราในพระเยซูอยู่ลึกกว่าเพียงแค่ผิวหนัง เพราะพระองค์ทรงรู้จักเราและทรงชำระหัวใจของเรา (1 ซมอ.16:7; 1 ยน.1:9) ขอให้เราชื่นชมยินดีในพระราชกิจแห่งการทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระองค์ในวันนี้

จุดเริ่มต้นเล็กๆ

สะพานบรูคลินถือเป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก” เมื่อตอนที่สร้างเสร็จในปี 1883 เส้นลวดเรียวเล็กเส้นเดียวที่ขึงจากหอคอยสะพานฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโครงสร้างของสะพาน ลวดอีกหลายเส้นถูกเสริมเข้าไปกับลวดเส้นแรกจนกลายเป็นสายเคเบิลขนาดใหญ่ที่ถักทอเข้ากับเคเบิลอีกสามเส้น เมื่อเสร็จแล้วสายเคเบิลแต่ละเส้นซึ่งประกอบไปด้วยเส้นลวดเคลือบสังกะสีกว่าห้าพันเส้นได้ช่วยรับน้ำหนักสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในยุคนั้น การเริ่มต้นด้วยสิ่งเล็กๆกลับกลายเป็นส่วนประกอบขนาดใหญ่ของสะพานบรูคลิน

ชีวิตของพระเยซูก็เริ่มต้นแบบเล็กๆ ทรงเป็นทารกที่เกิดและถูกวางไว้ใน รางหญ้าในเมืองเล็กๆ (ลก.2:7) ผู้เผยพระวจนะมีคาห์ได้พยากรณ์ถึงการบังเกิดอันต่ำต้อยของพระองค์ โดยบันทึกว่า “โอ เบธเลเฮม เอฟราธาห์ แต่เจ้าผู้เป็นหน่วยเล็กในบรรดาตระกูลของยูดาห์ จากเจ้าจะมีผู้หนึ่งออกมาเพื่อเรา เป็นผู้ที่จะปกครองในอิสราเอล” (มคา.5:2; และมธ.2:6) แม้จะเป็นการเริ่มต้นเล็กๆ แต่ผู้ปกครองและผู้เลี้ยงแกะพระองค์นี้จะได้เห็นพระนามและพระราชกิจของพระองค์ “​​ทรงเป็นใหญ่ตลอดจนถึงที่สุดท้ายปลายพิภพ” (มคา.5:4)

พระเยซูประสูติในสถานที่เล็กน้อยต้อยต่ำ และพระชนม์ชีพของพระองค์ จบลงด้วยการ “ทรงถ่อมพระองค์ลง” และสิ้นพระชนม์เยี่ยงอาชญากรบน “กางเขน” (ฟป.2:8) แต่ด้วยการเสียสละอันยิ่งใหญ่ พระองค์ได้เป็นสะพาน เชื่อมช่องว่างระหว่างเรากับพระเจ้า โดยทรงจัดเตรียมความรอดให้แก่ทุกคนที่เชื่อ ในช่วงเวลานี้ขอให้คุณรับเอาของขวัญอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้าในพระเยซู ด้วยความเชื่อ และถ้าคุณเชื่อ ขอให้คุณถ่อมใจลงสรรเสริญพระองค์อีกครั้ง สำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อคุณ

ยืนหยัดในความเชื่อ

โนเกียกลายเป็นบริษัทมือถือที่มียอดขายสูงที่สุดในโลกในปี 1998 โดยมีผลกำไรพุ่งขึ้นเกือบสี่พันล้านดอลลาร์ในปี 1999 แต่ภายในปี 2011 ยอดขายก็เริ่มลดลง และในไม่ช้าบริษัทไมโครซอฟท์ก็เข้ามาซื้อกิจการ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มือถือโนเกียประสบความล้มเหลวคือ วัฒนธรรมการทำงานที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความกลัวซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง พวกผู้บริหารของโนเกียกลัวที่จะพูดความจริงเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการที่ด้อยกว่าและปัญหาด้านการออกแบบอื่นๆของโทรศัพท์ เพราะกลัวว่าจะถูกไล่ออก

กษัตริย์อาหัสแห่งยูดาห์และประชาชนของพระองค์เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและ “สั่นเหมือนต้นไม้ในป่าสั่นอยู่หน้าลม” (อสย.7:2) พวกเขารู้ว่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลและอารัม (ซีเรีย) เป็นพันธมิตรกัน และกองทัพของทั้งสองประเทศได้ผนึกกำลังกันเพื่อเดินทัพไปยึดครองยูดาห์ (ข้อ 5-6) แม้ว่าพระเจ้าทรงใช้อิสยาห์ไปหนุนใจอาหัส โดยบอกพระองค์ว่าแผนการของศัตรู “จะไม่เกิดขึ้น” (ข้อ 7) แต่กษัตริย์ผู้โง่เขลากลับเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับอัสซีเรียและยอมจำนนต่อกษัตริย์ที่เป็นมหาอำนาจ (2 พกษ.16:7-8) พระองค์ไม่วางใจในพระเจ้าผู้ทรงประกาศว่า “ถ้าเจ้าไม่มั่นใจ แน่ละ ก็จะตั้งมั่นเจ้าไว้ไม่ได้” (อสย.7:9)

ผู้เขียนฮีบรูช่วยเราในการเข้าใจว่า การยืนหยัดในความเชื่อนั้นเป็นอย่างไรในยุคปัจจุบัน “ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น โดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ” (10:23) ขอให้เรามุ่งมั่นและไม่ “เสื่อมถอย” (ข้อ 39) เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเสริมกำลังเราให้วางใจในองค์พระเยซู

เสียงเตือน

คุณเคยเผชิญหน้ากับงูหางกระดิ่งในระยะประชิดไหม ถ้าเคย คุณอาจจะสังเกตว่าเสียงสั่นที่หางจะถี่ขึ้นเมื่อคุณขยับเข้าใกล้เจ้างูพิษนั้น งานวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์เคอร์เรนท์ไบโอโลยี่ เปิดเผยว่างูจะสั่นหางถี่ขึ้นเมื่อสิ่งคุกคามเข้าใกล้มันมากขึ้น “สัญญาณความถี่สูง” นี้จะทำให้เราคิดว่าพวกมันอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่เป็นจริง เช่นที่นักวิจัยคนหนึ่งอธิบายว่า “เมื่อผู้ที่ได้ยินตีความระยะห่างผิดพลาด....ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มระยะปลอดภัย”

บางครั้งคนเราอาจใช้น้ำเสียงที่ดังขึ้นกับคำพูดแรงๆเพื่อผลักไสผู้อื่นออกไปในขณะที่เกิดความขัดแย้ง เป็นการแสดงความโกรธและเริ่มใช้การตะคอก ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตได้ให้คำแนะนำที่ฉลาดสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ “คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ” (สภษ.15:1) ท่านได้พูดต่ออีกว่า “ลิ้นที่สุภาพ” และ “ริมฝีปากของปราชญ์” เป็น “ต้นไม้แห่งชีวิต” และเป็นแหล่งแห่ง “ความรู้” (ข้อ 4,7)

พระเยซูทรงบอกเหตุผลที่สำคัญที่สุดเพื่อที่เราจะขอร้องอย่างอ่อนโยนกับคนที่เราขัดแย้ง เพราะการมอบความรักนั้นสำแดงว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า (มธ.5:43-45) และการแสวงหาการคืนดีนั้นก็เพื่อที่จะ “ได้พี่น้องคืนมา” (มธ.18:15) แทนที่จะขึ้นเสียงหรือใช้คำพูดหยาบคายเมื่อเกิดความขัดแย้ง ขอให้เราแสดงความสุภาพ สติปัญญา และความรักต่อผู้อื่น โดยการทรงนำของพระเจ้าทางพระวิญญาณของพระองค์

การตัดสินใจอย่างประมาท

ตอนเป็นวัยรุ่น ผมขับรถด้วยความเร็วสูงมากเกินไป เพื่อพยายามตามเพื่อนไปที่บ้านของเขาหลังจากซ้อมบาสเก็ตบอลที่โรงเรียนเสร็จ ตอนนั้นฝนตกหนัก และผมขับตามรถเพื่อนไม่ค่อยจะทัน ทันใดนั้นเมื่อที่ปัดน้ำฝนปัดน้ำออกจากกระจกหน้ารถ ผมก็เห็นรถของเพื่อนหยุดอยู่ตรงหน้า! ผมกระแทกเบรคอย่างแรง รถไถลออกนอกถนนและชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ รถของผมพัง ต่อมาผมฟื้นขึ้นในห้องผู้ป่วยโคม่าในโรงพยาบาลท้องถิ่น ผมรอดชีวิตด้วยพระคุณของพระเจ้า แต่ความประมาทของผมได้พิสูจน์แล้วว่ามีราคาแพงมาก

โมเสสตัดสินใจด้วยความใจร้อนซึ่งทำให้ท่านต้องสูญเสียโอกาสสำคัญ การตัดสินใจที่ผิดพลาดของท่านเกี่ยวข้องกับการไม่มีน้ำ ไม่ใช่การมีมากเกินไป (เช่นในกรณีของผม) ชนชาติอิสราเอลขาดน้ำในถิ่นทุรกันดารสีน “เขาประชุมกันว่าโมเสสและอาโรน” (กดว.20:2) พระเจ้าทรงบอกผู้นำที่ถูกกดดันให้บอกกับหินให้ “หลั่งน้ำ” (ข้อ 8) แต่โมเสส “ตีหินนั้นสองครั้ง” (ข้อ 11) พระเจ้าตรัสว่า “เพราะเจ้ามิได้เชื่อเรา...เจ้าจึงจะมิได้นำคนที่ประชุมนี้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราได้ให้แก่เขา” (ข้อ 12)

เวลาที่เราตัดสินใจทำสิ่งใดด้วยความประมาท เราต้องรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมา “คนที่ไม่มีความรู้ก็ไม่ดี และบุคคลที่เร่งเท้าหนักก็มักพลาดผิด” (สภษ.19:2) ขอให้เราแสวงหาพระปัญญาและการทรงนำของพระเจ้าอย่างระมัดระวังด้วยใจอธิษฐาน เพื่อการตัดสินใจและการเลือกทำสิ่งต่างๆของเราในวันนี้

ภัยพิบัตินำเรามา

ในปี ค.ศ. 1717 พายุที่ทำลายล้างพัดกระหน่ำเป็นเวลาหลายวัน นำไปสู่การเกิดน้ำท่วมในวงกว้างทางตอนเหนือของยุโรป ผู้คนหลายพันเสียชีวิตทั้งที่เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และเดนมาร์ก ประวัติศาสตร์เผยให้เห็นสิ่งที่น่าสนใจและธรรมเนียมปฏิบัติในเวลานั้น ที่จะมีการตอบสนองจากรัฐบาลท้องถิ่นอย่างน้อยหนึ่งแห่ง หน่วยงานบริหารเมืองโครนิงเง็นของเนเธอร์แลนด์เรียกร้องให้มี “วันอธิษฐาน” เพื่อตอบสนองต่อภัยพิบัติ นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งรายงานว่าประชาชนรวมตัวกันในคริสตจักรและ “ฟังเทศนา ร้องเพลงสดุดี และอธิษฐานนานนับหลายชั่วโมง”

ผู้เผยพระวจนะโยเอลบรรยายถึงภัยพิบัติร้ายแรงที่ชาวยูดาห์เผชิญ ซึ่งนำไปสู่การอธิษฐานด้วยเช่นกัน ฝูงตั๊กแตนจำนวนมหึมาปกคลุมแผ่นดินและ “ทำลายเถาองุ่น และปอกเปลือกต้นมะเดื่อ” (ยอล.1:7) ขณะที่ท่านและคนของท่านตกอยู่ในความกลัวจากหายนะนั้น โยเอลอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์” (ยอล.1:19) ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ทั้งชาวยุโรปเหนือและคนยูดาห์ต่างก็ประสบภัยพิบัติที่เกิดจากผลของบาปและโลกที่ล้มลงในบาป (ปฐก.3:17-19; รม.8:20-22) พวกเขายังพบด้วยว่า เวลาเช่นนี้นำให้พวกเขาร้องเรียกหาพระเจ้าและแสวงหาพระองค์ในการอธิษฐาน (ยอล.1:19) และพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายจง​กลับ​มาหา​เราเสียเดี๋ยวนี้ ด้วย​ความเต็มใจ” (2:12)

เมื่อเราเผชิญกับความยากลำบากและภัยพิบัติ ขอให้เราหันไปยังพระเจ้า ไม่ว่าจะด้วยความเจ็บปวดหรือการกลับใจ พระองค์ทรงนำเราให้เข้ามาหาพระองค์ ด้วย “พระกรุณา” และ “บริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง” (ข้อ 13) โดยประทานการปลอบโยนและความช่วยเหลือที่เราต้องการ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา